กี่ดราม่าก็เอาไม่ลง ก้อง ห้วยไร่ เปิดของขวัญสุดแปลกจากแฟนคลับที่ทำสภาพจิตใจแย่

กี่ดราม่าก็เอาไม่ลง ก้อง ห้วยไร่ เปิดของขวัญสุดแปลกจากแฟนคลับที่ทำสภาพจิตใจแย่

นักร้องหนุ่มเจ้าของเพลงดังมากมายอย่าง ก้อง ห้วยไร่ ที่ล่าสุดได้ไปออกรายการ เบิ้ล AM ที่มีคู่ซี้อย่าง เบิ้ล ปทุมราช เป็นพิธีกร โดยในรายการ ก้องได้บอกว่า ไม่ว่าจะกี่ดราม่า หรือกี่ทัวร์ที่มาลงก็เอาเขาไม่อยู่ พร้อมพูดถึงความรู้สึกที่แฟนคลับมักจะเอาของขวัญเปลกๆ มาให้ที่คอนเสิร์ตเป็นประจำ และได้เล่าถึงที่มาของความสนิทระหว่าง ก้อง-เบิ้ล ว่าเป็นมายังไงอีกด้วย

ปัจจุบันอายุเท่าไหร่?

ก้อง : 37 ปี (เป็นเพื่อนกับเบิ้ล ปทุมราช?) เป็นเพื่อนสนิทกัน

ของที่แปลกที่สุดที่เคยได้จากแฟนคลับคืออะไร?

ก้อง : แปลกไหมแต่มองว่าละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกเรามากกว่า (คิดยังไงกับคนที่เอาเงินปลอมมาให้?) เงินปลอมไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตรู้สึกสงสารเขา ถึงแม้เขาจะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม หมาแมวพี่ส่งคืนเลยทันที รับให้หน้าเวที แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นพี่เอาไปเลี้ยงในที่สนามเต็มหมดเลย แต่เข้าใจความรู้สึกเขา เขามีจิตใจนะ สิ่งมีชีวิตอย่าเอามาเลยหน้าเวที อาจจะได้คอนเทนต์สนุกสนาน แต่ว่าสภาพจิตใจพี่แย่มากเลยนะ พี่ก็แกล้งสนุกไปกับพวกเรา กลัวพวกเราเสียหน้า กลัวเอามาให้แล้วเสียหน้า เวลาเอาไก่ชนมาให้ เวลาเอาวัว เอาหมา เอาแมว เอาเป็ด สิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เอาปลาอย่างนี้ ปลาคาร์ฟ (เคยมีเอามาปลาช่อนมาให้แล้วเอาไปผัดเผ็ดไหม?) ไม่เคยๆ ปล่อยๆ

เบิ้ล : แต่สุดท้ายอยากจะบอกว่า บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเรา เรารู้ว่าเป็นคอนเทนต์กับความจริง ที่เราอาจจะแยกแยะ แต่ว่ายังไงไม่ได้อยากให้ทุกคนดราม่าหรือว่ามีมุมที่แบบ

ก้อง : ดราม่าเลย เชิญเอารถทัวร์มาลงเลย รถทัวร์มาลงปั๊บ ก็ขึ้นไปร้องคาราโอเกะบนรถทัวร์ เอาไม่ลงหรอก ขนาดลิฟต์ถ้าไม่กดเอง ยังเอาไม่ลง

ปะฉะดะเล่นเป็นใคร?

ก้อง : ร้อยตำรวจเอก ทับทิมทวย ยินดีมากที่ได้ร่วมงานกันด้วย เพราะเป็นคนที่นับถือศานาพุทธอยู่แล้ว ด้วยเนื้อเรื่อง เป็นเรื่องราวของมาเฟียคนหนึ่ง ซึ่งอยากจะไปตามพระไตรปิฎก ทีนี้เขาก็เลยพยายามหาว่าศิลปินท่านไหนนักแสดงท่านไหนที่จะเข้ากับ เข้าใกล้คาแร็กเตอร์นี้ เขาก็ติดต่อมา พี่ก้องมีฉากเป็นหงอคง ถ้ามาเฟีย พี่ก้องสนใจไหม ก็เลยได้รับภาพยนตร์เรื่องนี้ (มีซีนที่ขี่มอ’ไซค์ หงอคงขี่มอ’ไซค์ได้ด้วยเหรอ?) เขาเป็นอาชาไนย อาชาไนยในยุคใหม่ อาชาไนย ม้าดีก็เหมือนรถดี รสดีเวลากินกับมะม่วง ก็จะอร่อยนะ ไม่ต้องปรุงอะไรเยอะมาก (หัวเราะ)

ในหนังมีใครบ้าง เล่นกับใครบ้าง?

ก้อง : เล่นกับคุณเบิ้ล ปทุมราช คุณอาทิตย์ สมน้อย ก็ผมว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ

เบิ้ล : มีช่วงหนึ่งที่ผมต้องตัดสินใจอยู่ 2 อย่างคือ จะมาอาร์สยาม หรือจะมาอยู่กับก้อง ห้วยไร่

ก้อง : ได้ยินเขาร้องเพลงผ่านสื่อโซเชียลแล้วรู้สึกว่าเด็กคนนี้ศักยภาพ ทั้งหน้าตา แล้วก็ทั้งความสามารถ คิดว่าน่าจะไปต่อได้ แล้วก็ในจุดที่เราอยู่ตอนนั้น เพลงไสว่าสิบ่ถิ่มกัน เริ่มมีคนรู้จักแล้ว ก็เลยอยากจะชวนเบิ้ลมาอยู่ด้วย ทีนี้ ชวนเป็นตุเป็นตะเลย ชวนไปที่สกลนคร เบิ้ลบอกว่า เดี๋ยวขอตัดสินใจก่อนแล้วกัน เพราะตอนนั้นก็มีค่ายมาทาบทามเบิ้ล แต่เรายังไม่รู้ตอนนั้นเบิ้ลจะไปไหน

เบิ้ล : ผมคิดอยู่สองอย่างคือ ถ้าไปอยู่กับพี่เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าผมไปอยู่อีกค่ายอาร์สยาม เราจะเป็นคู่แข่ง ผมก็เลยอยากจะเป็นคู่แข่งของพี่ คู่แข่ง ณ ที่นี้ไม่ใช่การอยากเอาชนะ ถ้าเราไปอยู่กับเขา เราจะเป็นร่มเงาของเขาตลอดชีวิต เราจะไม่มีวันเป็นตัวของตัวเอง เพราะอะไร ผมจะเห็น ก้อง ห้วยไร่ เป็นไอดอลตลอดชีวิต แต่วันที่ผมตัดสินใจออกไปจากตรงนั้นคืออะไร ถ้าวันหนึ่งดังแบบพี่ก้อง ถ้าวันหนึ่งได้กลับมาเจอกัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่จะเป็นคู่แข่ง เพื่อพัฒนาคู่ต่อสู้ ศักยภาพ ไม่รู้ว่าถ้ามีโรนัลโด ต้องมี เมสซี่ บัปเป้ ต้องมีโฮลัน แต่ถ้าวันไหนผมไปอยู่กับพี่ก้องตั้งแต่แรก ผมไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นเบิ้ลในรูปแบบไหน เพราะอาจจะกลายเป็นปัญหา แล้วแยกออกมาจากกันอีก อีกในรูปแบบหนึ่งก็ได้ เหมือนคนที่แบบอยู่ด้วยกันทุกวันแล้วรู้สึก เฮ้ย เบื่อ

ก้อง : พี่จะบอกทริกหนึ่งนะ คนอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นผัวเมีย พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ยิ่งอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่ว่ายิ่งจะรักกันมากขึ้นนะ ทุกคนเริ่มต้นจากร้อยหมด แล้วจะลดลงเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์ ใครจะประคองให้เหลือแปดสิบ เก้าสิบ ก็แล้วแต่ ไม่มีใครยิ่งอยู่ด้วยกันแล้วยิ่งรักกันขึ้น ซึ่งเบิ้ลตัดสินใจถูกมาก ถ้าเกิดว่าเบิ้ลตัดสินใจไปอยู่กับผมตอนนั้น ก็อย่างที่เบิ้ลบอก ก็คงจะเป็นนักร้องที่ไม่ได้มีศักยภาพที่ชัดเจนขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วค่ายเพลงค่ายหนึ่งก็ไม่สามารถที่จะชูโรงได้ทุกคน ก็จะมีเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ดี

มีคนถามว่าทำไมถึงดูสนิทกัน?

เบิ้ล : เป็นเรื่องราวสตอรี่มานานมาก อันนี้อยากจะบอกขอบคุณพี่ก้องที่แบบเป็นเพื่อนที่ดี คือจริงๆ อยากจะบอกว่า เป็นเรื่องราวหนึ่งที่เราคุยกันไว้ ช่วงที่หลังจากโควิดเสร็จ เป็นจุดกำเนิดของการเป็นคู่หูของคอนเสิร์ต ที่เป็นปัจจัยหลักเลยคือ ผมมาหาพี่ก้องที่บ้าน มากินเหล้า บอกพี่ก้องว่า พี่ ถ้าผมจะสนับสนุนใครสักคนในชีวิต หรืออยากจะออกงานคู่ใคร หรือไปไลฟ์สตรีมกับใครสักคนหนึ่ง ต้องเป็นพี่ ผมอยากสนับสนุนเราสองคน แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่มีวันทะเลาะกับคนนี้ แล้วเป็นคำพูดที่ไม่ใช่เรื่องราวที่เกินจริง ผมกับก้อง ห้วยไร่ ไม่ใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกัน เคย เคยหมิ่น เคยรู้สึก เคยแบบหมั่นไส้ แต่สุดท้ายแล้วไม่เกิน 2 วิ เพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เวลาอยู่ใกล้ มีอะไรบางอย่างทำให้เห็นว่าเหมือนเป็นกระจกที่ดี

ก้อง : คือมีไม่กี่คนในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นผัวเมียก็ตามนะ บางทีไม่กล้าเป็นกระจกกันและกัน กระจกคือการพูดความจริง กระจกเนี่ย เวลาส่องความเป็นจริงให้ใครสักคนหนึ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ถ้าเขาเป็นคนที่เปิดใจยอมรับ จะเป็นสิ่งที่ดี เขาจะเห็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเขาเอง แต่ถ้าเขาไม่เปิดใจ เขาจะทุบกระจกนั้นทิ้ง นั่นก็หมายถึงความเป็นเพื่อน ความเป็นพี่เป็นน้อง ก็จะแตกหักกันไป เพราะฉะนั้นเลยมีไม่กี่คนที่จะกล้าเอาความจริงมาเล่าให้เราฟัง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังสำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง

ทำไมถึงไม่อยากให้คนดูดบุหรี่ในคอนเสิร์ต?

ก้อง : ผมเป็นคนที่แพ้บุหรี่มาก แล้วชีวิตเราวันหนึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนคนไหนที่แบบ เราไม่ได้ห้ามนะจริงๆ แล้ว แต่เราต้องยอมรับว่า ความสุขของเรา ไม่ใช่ความสุขของคนอื่น ลมหายใจ ใครจะไปอยากใช้ลมหายใจร่วมกับคนอื่น ก็ประมาณนั้น ไม่มีอะไรหรอก แต่หลังๆ หลายๆ คอนเสิร์ตก็เริ่มทำแบบนั้น เรารู้สึกดีมากเลย ทุกวันนี้ไปเล่นก็ไม่ค่อยเห็นนะ ดีนะๆ ขอบคุณมาก ถ้าเกิดว่าพี่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วก็พี่ๆ นักท่องเที่ยว น้องๆ นักท่องเที่ยวที่เห็นว่ามีคุณค่า ชั่วโมงเดียวเอง เนอะ ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นเนาะ สิ่งที่เราชอบคนอื่นอาจจะไม่ชอบด้วย

คิดยังไงกับคำว่า เงินซื้อความสุขไม่ได้?

ก้อง : คิดผิดมาก เงินคือตัวแปรของปัจจัยสี่ เอาเป็นว่ามีคำหนึ่งคนอื่นเขาพูดเยอะแล้วแหละ ร้องไห้ในห้องแอร์ ถ้าทุกข์ก็ทุกข์แบบเย็นๆ มีข้าวกิน ก็ทุเลาบ้าง

มีอะไรอยากถามผมไหม

?

ก้อง : สิ่งที่เราต้องยอมรับให้ได้ การเป็นศิลปินนักร้องที่มีคนรู้จักเยอะ ครั้งหนึ่งเคยมีจุดที่มันพีคสูงสุดในชีวิตทำอะไรก็ดีไปหมด ถ้าวันหนึ่งมีน้องๆ รุ่นใหม่เข้ามา ได้รับความสนใจมากกว่าเราเผื่อใจตัวเองยังไง

เบิ้ล : อยากจะบอกว่าวันนั้นที่พี่ก้องพูด ปัจจุบันผมเป็นคนนี้ เป็นคนที่ทำอะไรก็ดีไปหมด ดีจนตกใจ คือไม่แปลกใจที่พี่ก้องไปบวช แล้วก็ไปวางแผนชีวิตเจ็ดวันในวัด คืออยากจะบอกว่าผมนอนคิดนะ ถ้าวันหนึ่งผมกลายเป็นคนแก่มีตีนกา ผมคิดอย่างหนึ่งว่า ต้องมีน้องคนหนึ่งเกิดมาให้เป็นเบิ้ล แล้วผมจะเป็นก้องคนนั้นที่แก่ๆ มีตีนกา แต่จะออกงานคู่กับน้องคนนั้น

ก้อง : เบิ้ลข่มใจตัวเองได้ไหมถ้าวันหนึ่งจะต้องพักจริงๆ ไม่ได้ไปต่อ จะใช้ชีวิตยังไง

เบิ้ล : ก็ต้องกลับมาเป็นบทความแรก ต้องมีเงินก่อน มีเงินพอที่จะใช้ชีวิต มีเงินพอที่จะหยุดคำว่า สมัยก่อนเลยทัวร์ เคยดังแล้วนะ เคยเอาชีวิตใช้ คงถึงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตจริงๆ แต่การใช้ชีวิต ณ ที่นี้เหมือนกับว่าชื่อเสียงเงินทองที่เราได้มาช่วงนั้นเราใช้แบบไหน ถ้าผมใช้แบบสะเปะสะปะ คิดว่าดังไม่มีวันลง ผมตกลงมาผมตายแน่ ผมดาวน์แน่ แต่ทุกวันนี้ผมเปรียบเสมือนการยืมสิ่งของเขามาสักวันหนึ่งก็ต้องคืน แต่เราจะคืนในสภาพไหน สภาพที่แหลกเหลว นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีเงินรักษา ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีเพื่อน ไม่มีฝูง ไม่มีตังค์จะเลี้ยงดูตัวเอง แต่ผมอยากจะคืนโดยสภาพที่ดี ผมคืนชื่อเสียงให้แล้วนะ แต่เงินเป็นของผม

ก้อง : มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่เจอคำถามจากพ่อพี่คำหนึ่ง มีปลาตัวหนึ่ง จะทำยังไงให้ได้กินเยอะที่สุด นานที่สุด พี่ก็ตอบเอาไปตากแห้ง ก็ผิด เอาไปแช่ตู้เย็น ก็ผิด พ่อบอกว่า ปลาตัวนั้นอาจจะไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่ลองสับสักร้อยชิ้น แล้วก็ให้ทุกบ้าน ให้ทุกบ้านกิน ถึงจะน้อย

เบิ้ล : สมมุติว่าให้ร้อยครอบครัวเรือน สักวันหนึ่งพอเขากินเขาอิ่ม อาจจะมี 37 ครัวเรือน ที่วันหนึ่งเขาอาจจะเป็นคนให้เรากลับมา

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : กี่ดราม่าก็เอาไม่ลง ก้อง ห้วยไร่ เปิดของขวัญสุดแปลกจากแฟนคลับที่ทำสภาพจิตใจแย่

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.matichon.co.th

2024-04-29T06:52:50Z dg43tfdfdgfd